ไขกลไก Cashu กับ Blind Signaturesฅ
Cashu เป็นโปรโตคอล Chaumian e‑cash รูปแบบใหม่ ที่สามารถทำงานร่วมกันได้ กับบิตคอยน์ และออกแบบให้เป็น “เหรียญดิจิทัล” แบบ bearer token คล้ายกับเงินสดจริง ๆ ซึ่งระบบนี้เป็น open-source โดยทุกคนสามารถรัน mint (ในบริบทนี้ทำหน้าที่เหมือนโรงกษาปณ์ดิจิทัล) ของตนเองได้ [1] ซึ่งเปรียบเสมือนธนาคารรายย่อยที่จะออกเหรียญ e-cash ให้กับผู้ฝากเงิน ผู้ใช้งานไม่ต้องสร้างบัญชีหรือให้ข้อมูลส่วนตัวใด ๆ กับ mint ซึ่งหมายความว่า mint จะไม่ทราบยอดเงินหรือประวัติการใช้จ่ายของผู้ใช้ ทำให้เพิ่มความเป็นส่วนตัวและลดความเสี่ยงจากการรั่วไหลของข้อมูล
ระบบ Cashu ประกอบด้วยสองส่วนหลักคือ mint และ wallet ผู้ใช้ฝากบิตคอยน์ให้กับ mint รายใดรายหนึ่ง (โดยทั่วไปจะโอนไปผ่าน Lightning Network) แล้วฝั่ง mint จะออกโทเค็น e-cash ให้ตามมูลค่าที่ฝาก ผู้ใช้สามารถถือโทเค็นนี้ไว้แล้วใช้จ่ายได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่า on-chain และการจ่ายภายใน mint เดียวกันจะเกิดขึ้นทันทีและเกือบไม่มีค่าธรรมเนียม

รูปข้างต้นคือ กระบวนการทำธุรกรรมพื้นฐานของ Cashu ที่เริ่มจากการที่ผู้ใช้ฝาก Bitcoin ให้ mint ผ่าน Lightning Network แล้ว mint ออกโทเค็น e‑cash ให้ตามมูลค่า จากนั้นผู้ใช้สามารถส่งโทเค็นนี้ให้ผู้อื่นในมินท์เดียวกันได้ทันทีโดยไม่มีค่าธรรมเนียม หรือจะถอนโทเค็นกลับมาเป็น Bitcoin ผ่าน Lightning ก็ได้
หลักการทำงานแบบ Chaumian e‑cash
Cashu ใช้หลักการ blind signatures ซึ่งเป็นนวัตกรรมสำคัญของ David Chaum ในระบบ e-cash แบบดั้งเดิม [2] เพื่อรักษาความไม่เชื่อมโยงระหว่างการออกเหรียญกับการใช้จ่าย กล่าวคือฝั่ง mint จะทำการเซ็น Digital signature ลงบน secret message ของผู้ใช้ โดยที่ไม่รู้เนื้อหาข้อความนั้น เมื่อถอดรหัสออกมาแล้วผู้ใช้จะได้โทเค็นที่มีลายเซ็นถูกต้องแต่ mint ก็ไม่สามารถเชื่อมโยงได้ว่าผู้ใช้คนใดเป็นผู้ถือโทเค็นนั้น
ขั้นตอนคร่าวๆ ของการทำงานมีดังนี้
ผู้ใช้เลือกจำนวนสุ่ม
x
และคำนวณจุดบน elliptic curve ให้เป็นY = hash_to_curve(x)
จากนั้นใช้ค่า blinding factorr
เพื่อสร้างข้อความลับB = Y + rG
แล้วส่งB
ไปให้ mintmint มี private key
k_a
สำหรับจำนวนเงินa
แต่ละค่า (เช่น 1 sats, 2 sats, 4 sats, …) ทำการคูณk_a * B
ซึ่งเป็นการเซ็นต์บนข้อความลับ แล้วคืนค่าเป็น (ผลลัพธ์C' = k_a * B
) ให้กับผู้ใช้ผู้ใช้ถอดรหัสโดยคำนวณ
C = C' - r K
(ที่K = k_a G
คือ public key ของ mint) จะได้ลายเซ็นต์บนข้อมูลเดิมY
เป็นC = k_a * Y
ซึ่งเชื่อมโยงกับx
โทเค็นสุดท้ายของผู้ใช้คือคู่
(x, C, a)
โดยa
ระบุมูลค่าของเหรียญ (หน่วยเป็น satoshi) การจัดเก็บหมายเลขx
ทำให้สามารถตรวจสอบการใช้ซ้ำได้ หากมีใครพยายามนำเหรียญ (ค่าx
) เดิมมาใช้ซ้ำ mint จะตรวจพบและปฏิเสธทันทีเมื่อผู้ถือโทเค็นต้องการโอนให้แก่ผู้อื่น (หรือคืนให้ mint เพื่อขอ Bitcoin คืน) ก็จะส่ง
(x, C, a)
ไปให้ mint แล้ว mint จะยืนยันลายเซ็นด้วยการตรวจสอบว่าค่าC
ตรงกับk_a * hash_to_curve(x)
มั้ย หากถูกต้องและx
ยังไม่ถูกใช้มาก่อน จึงรับรองว่าเหรียญถูกต้อง (และบันทึกx
ไว้ในฐานข้อมูลที่ใช้แล้ว)
ระบบ Cashu กำหนดให้มีเพียงชุดมูลค่าที่จำกัด (เช่น 1, 2, 4, 8, 16 sats เป็นต้น) เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว เมื่อมีการถอนหรือต้องการจำนวนอื่น ผู้ใช้จะรวมโทเค็นย่อยหลายอัน ๆ (คล้าย ๆ ระบบของ utxo นั่นแหละ) ให้เท่ากับจำนวนที่ต้องการ ซึ่งช่วยให้เหรียญแต่ละเหรียญมี anonymity set ใหญ่ขึ้น และยากที่ mint จะระบุตัวบุคคลจากข้อมูลจำนวนที่ไม่ซ้ำกันได้
เนื่องจากเป็นระบบในลักษณะ custodial ผู้ใช้จำเป็นต้องวางใจ mint โดยฝาก Bitcoin ไว้กับ mint ก่อนแลกเป็น e-cash ต่างจาก Lightning ที่มีทางเลือกทั้ง custodial และ non-custodial
Cashu จะออกโทเค็นก็ต่อเมื่อได้รับชำระ Bitcoin จากผู้ใช้ก่อน และ mint จะเก็บ Bitcoin เหล่านั้นไว้เป็นสินทรัพย์สำรอง อย่างไรก็ตาม ข้อดีคือ mint จะ ไม่รู้จำนวนเหรียญหรือยอดเงินคงเหลือในบัญชีผู้ใช้ ทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากกว่าระบบการเงินทั่วไป ( mint ไม่รู้ว่าผู้ใช้คนใดถือโทเค็นอยู่หรือจ่ายให้ใคร) ผู้ใช้จึงได้ประโยชน์จากความเป็นส่วนตัวอย่างแท้จริง
การทำงานร่วมกับ Bitcoin และ Lightning Network
โดยปกติผู้ใช้จะ ฝาก Bitcoin ผ่าน Lightning Network ให้กับ mint เพื่อนำมาออก e‑cash หลังจากนั้น mint จะออกโทเค็น e-cash ตามมูลค่านั้นทันที ผู้ใช้ถือโทเค็นนี้ไว้ในวอลเล็ต Cashu บนมือถือหรือเว็บเบราว์เซอร์ เพื่อใช้แทน Bitcoin ในการจ่ายเงินต่อไป โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้บล็อกเชนในการบันทึกอีก (ทำให้การโอนเป็นไปได้เร็วและไม่มีค่าธรรมเนียม หรือค่าธรรมเนียมต่ำ) ซึ่งแบ่งการส่งออกได้เป็น 3 แบบ
การโอนภายใน mint เดียวกัน – เมื่อผู้รับและผู้ส่งเลือกใช้ mint เดียวกัน เงินจะถูกโอนผ่านระบบ e-cash กันโดยตรงทันที (peer-to-peer) โดยไม่มีค่าธรรมเนียม เนื่องจากระบบไม่ต้องทำธุรกรรมใด ๆ บนบล็อกเชน หรือไม่ต้องเปิดช่องทาง Lightning เพิ่ม
การโอนข้าม mint (inter-mint) – หากผู้รับอยู่คนละ mint กัน Cashu จะใช้ Lightning Network เป็นทางเชื่อมสำหรับชำระหนี้ระหว่าง mint หรือก็คือ ผู้ส่งจะส่งโทเค็นไปยังวอลเล็ตของผู้รับ (ระบุผู้รับและ mint ปลายทาง) แล้วระบบจะให้ mint ผู้ส่งชำระ Bitcoin กับ mint ผู้รับผ่าน Lightning (เหมือนการโยกย้ายยอดภายในโครงข่าย) ทำให้การจ่ายเงินข้าม mint เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
การถอน (redeem) – หากผู้ใช้ต้องการเปลี่ยนโทเค็น ให้กลับเป็น Bitcoin อีกครั้ง ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยส่งโทเค็นพร้อมมูลค่ากลับไปยัง mint แล้ว mint ตรวจสอบความถูกต้องแล้วจะจ่าย Bitcoin ให้ผู้ใช้ผ่าน Lightning Network ทันที
สรุป
Cashu เป็นนวัตกรรมด้าน e-cash ที่นำเสนอวิธีการชำระเงินแบบ ส่วนตัว รวดเร็ว เหมือนการจ่ายด้วยเงินสดจริง โดยใช้หลัก Chaumian blind signatures ร่วมกับระบบ Bitcoin/Lightning Network และแม้ว่าการใช้ Cashu จะต้องฝาก Bitcoin ไว้กับ mint และยอมรับความเสี่ยงเชิงการดูแลเงิน (custody risk) แต่ระบบก็ออกแบบให้ผู้ใช้ไม่ต้องแสดงตัวตนหรือจัดการช่องทาง Lightning เอง ประโยชน์ที่ได้คือความเป็นส่วนตัวขั้นสูงและประสบการณ์การใช้งานที่ราบรื่น ผู้ใช้สามารถโอนเงินเล็ก ๆ ผ่าน Cashu ได้โดยไม่ต้องกังวลกับค่าธรรมเนียมหรือปัญหาสภาพคล่องแบบใน Lightning ปกติ
ในทางกลับกัน Cashu ยังต้องพัฒนาเพิ่มทั้งในเรื่องการยอมรับจากตลาด (ควรมีผู้ให้บริการ mint มากกว่านี้) และระบบรักษาความน่าเชื่อถือของ mint เพื่อให้แข็งแกร่งขึ้นในแง่ของความปลอดภัย ทั้งนี้ Cashu ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพใหม่ของการผสานเทคโนโลยี e-cash เข้ากับ Bitcoin อย่างสร้างสรรค์ และคาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการชำระเงินดิจิทัลที่ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ตามความต้องการได้
อ้างอิง
Last updated